2 มิถุนายน 2568

Traditional E-commerce VS Social Commerce คืออะไร ร้านออนไลน์แบบไหนที่เหมาะกับธุรกิจคุณ?

ปัจจุบันการขายสินค้าออนไลน์ถือเป็นเรื่องปกติของทุกธุรกิจ เพราะเป็นโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น แต่การมีหน้าร้านออนไลน์เพียงช่องทางเดียวอาจไม่เพียงพออีกต่อไป

ก่อนหน้านี้หลายธุรกิจอาจโฟกัสที่การขายบนแพลตฟอร์ม E-commerce เช่น เว็บไซต์ของธุรกิจ หรือ Marketplace ซึ่งถือเป็น Traditional E-commerce แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาด E-commerce ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเพราะการเข้ามาของ Social Commerce หรือการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ซึ่งได้แทรกซึมเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของผู้บริโภคอย่างเป็นธรรมชาติ

คำถามคือ แล้วธุรกิจของเราเหมาะกับ E-commerce แบบไหน และมีความพร้อมแค่ไหนในการบริหารจัดการสินค้าสำหรับการขายในแต่ละช่องทางอย่างมืออาชีพ

Traditional E-commerce คืออะไร

Traditional E-commerce คือรูปแบบการขายสินค้าออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของตัวเองหรือแพลตฟอร์ม Marketplace เช่น Shopee, Lazada, Amazon, eBay ฯลฯ ซึ่งแบรนด์เป็นผู้รับผิดชอบกระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่การออกแบบและเซตระบบการขาย, การชำระเงิน, การสื่อสารกับลูกค้า, การขนส่งสินค้า ฯลฯ

จุดเด่นของ Traditional E-commerce คือ

  1. แบรนด์เป็นเจ้าของการดำเนินงานอย่างสมบูรณ์ ไม่มีอัลกอริทึมของแพลตฟอร์มอื่นมากำหนดว่าสินค้าจะถูกปรากฎให้เห็นมากหรือน้อยเท่าไหร่ แต่ด้วยเหตุผลเดียวกัน แพลตฟอร์มของแบรนด์จึงต้องมีข้อมูลลูกค้าที่ละเอียดพอที่จะสามารถแนะนำสินค้าที่เหมาะกับลูกค้าเป้าหมายแต่ละรายได้เพื่อสร้างประสบการณ์การซื้อที่ยอดเยี่ยม
  2. การมีระบบหรือช่องทางขายของตัวเอง ทำให้แบรนด์สามารถรู้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้มากขึ้น เช่น ทราบว่าลูกค้าคนไหนเคยสนใจหน้าขายสินค้าหน้าไหนบ้าง เคยหยิบสินค้าไหนใส่ในตะกร้าบ้าง หรือมีประวัติซื้ออะไรไปเท่าไหร่บ้าง หากสามารถนำข้อมูลนี้มาปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าได้ดี ก็มีโอกาสต่อยอดยอดขายและสร้างความภักดีได้ในระยะยาว
  3. การขายสินค้ามูลค่าสูงหรือระบบสมาชิกอาจทำได้ดีกว่าในรูปแบบการขายแบบ Traditional E-commerce เพราะสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของธุรกิจและมีความน่าเชื่อถือมากกว่า

ความท้าทายของ Traditional E-commerce คือ

  1. ระบบหลังบ้านต้องแข็งแรง เนื่องจากทุกกระบวนการถูกบริหารจัดการโดยธุรกิจเองทั้งหมด Social Commerce อาจมีศักยภาพในการพัฒนาระบบที่ดีมากกว่า
  2. แบรนด์ต้องมีวิธีดึงดูดผู้เข้าชมเว็บไซต์ และการจะทำแบบนั้นได้ต้องมีต้นทุนทั้งเรื่องเงินและเวลาในการทำ SEO หรือโฆษณาด้วย
  3. เนื่องจาก Traditional E-commerce จำเป็นต้องใช้เวลาเพื่อสร้างการเข้าถึงของลูกค้า จึงอาจพลาดโอกาสการขายในช่วงที่มีกระแสโซเชียล ต่างจากการขายบนโซเชียลมีเดียที่สามารถทำการตลาดที่เล่นกับกระแสโดยกลุ่มเป้าหมายสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้ทันที

Social Commerce คืออะไร

Social Commerce คือการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย (TikTok, Instagram, Facebook ฯลฯ) ไม่ว่าจะเป็นการไลฟ์ การหยิบสินค้าใส่ตะกร้า หรือการแชตเพื่อสั่งซื้อได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียนั้น

จุดเด่นของ Social Commerce คือ

  1. ลูกค้าสามารถดูรายละเอียดสินค้าและซื้อได้โดยไม่ต้องออกจากแพลตฟอร์ม เพราะยิ่งมีขั้นตอนในการสั่งซื้อเยอะหรือซับซ้อนเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่ลูกค้าจะหยุดการสั่งซื้อมากเท่านั้น
  2. การขายแบบ Social Commerce เหมาะกับแบรนด์ที่มีการสื่อสารน่าดึงดูด โน้มน้าวให้เกิดความอยากซื้อ แม้จะไม่ใช่สินค้าที่จำเป็นต้องซื้อตั้งแต่แรก เป็นรูปแบบการขายที่สามารถสร้างยอดขายได้จากความพึงพอใจที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

ความท้าทายของ Social Commerce คือ

  1. หากแบรนด์มีการขายสินค้าบนหลายแพลตฟอร์ม Social Media การจัดการคำสั่งซื้อบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่างเป็นระบบสามารถทำได้ยาก ต้องมีระบบที่สามารถรวบรวมแชตหรือคำสั่งซื้อ เพื่อให้สามารถบริหารสินค้าคงคลังรวมถึงคำสั่งซื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพและไม่ตกหล่น
  2. ด้วยการขายสินค้าออนไลน์บนช่องทางของแบรนด์เองจะสามารถปรับแต่งระบบและควบคุมทุกอย่างได้ แต่เนื่องจาก Social Commerce เป็นการขายโดยพึ่งพาแพลตฟอร์มอื่น การปรับแต่งเพื่อให้กระบวนการเป็นไปตามมาตรฐานของแบรนด์จึงถูกจำกัด

Fulfillment จะสนับสนุนการขายสินค้าออนไลน์ (E-commerce) ได้อย่างไร

ไม่ว่าแบรนด์จะขายสินค้าแบบ Traditional E-commerce หรือ Social Commerce สิ่งที่สำคัญคือระบบหลังบ้านที่สามารถจัดการคำสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าได้อย่างถูกต้องและตรงตามเวลาที่กำหนด

ความท้าทายเหล่านี้คือหน้าที่ของ Fulfullment ที่ช่วยแบรนด์จัดการกระบวนการโลจิสติกส์ตั้งแต่การรับสินค้าเข้ามาเก็บในคลังอย่างเป็นระบบ และแพ็คสินค้าในรูปแบบที่แบรนด์ต้องการ ไปจนถึงจัดส่งสินค้าถึงมือผู้รับอย่างปลอดภัยและครบถ้วน ไม่ว่าจะขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มใดก็ตาม บริการ Fulfillment จะช่วยตอบสนองความต้องการของธุรกิจได้จนจบกระบวนการขาย Fulfillment ที่ดีไม่ใช่แค่การส่งของให้ถึงปลายทาง แต่คือการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในทุกช่องทางขาย

บุญรอด ซัพพลายเชน (BRS) พร้อมสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในยุคดิจิทัล ด้วยบริการ Fulfillment ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการขายหลายช่องทาง (Omnichannel) ทั้ง Traditional E-commerce และ Social Commerce เพราะเบื้องหลังธุรกิจที่เติบโตได้อย่างมั่นคง ล้วนมีระบบหลังบ้านที่แข็งแรงคอยสนับสนุนในทุกการเติบโตและเปลี่ยนแปลง

“BRS เราเป็นให้คุณมากกว่าแค่ Supply Chain Solutions Provider”

สนใจติดต่อสินค้า/บริการ ได้ที่ brs-group.com

Tel: 1439

#BRS #BoonRawdSupplyChain #TotalSupplyChainSolutions #Empoweryourbusiness #สปีดได้ไวสเกลได้ไกล #Ecommerce #TraditionalEcommerce #SocialCommerce #Fulfillment

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ บทความ