ระบบติดตามสินค้าแบบไหนเหมาะกับธุรกิจของคุณ?

ในยุคที่ลูกค้าคาดหวังว่า “ของต้องถึงไว” และ “ต้องรู้ทันทุกสถานะ” การมีแค่ระบบขนส่งที่ดีไม่พออีกต่อไป ระบบติดตามสินค้า (Tracking System) จึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยสำคัญ ที่ช่วยให้ลูกค้าติดตามสถานะของสินค้าได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะเลือกระบบติดตามสินค้า ธุรกิจควรคำนึงถึง SLA (Service Level Agreement) ที่ตกลงไว้กับลูกค้า เพราะ SLA กำหนดระยะเวลาในการขนส่ง ธุรกิจจึงต้องเลือกระบบให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้าและSLA ที่ธุรกิจให้คำมั่น
2 ระบบติดตามสินค้าที่แนะนำ
- ระบบ Check Point Update เป็นระบบที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนสูง เหมาะสำหรับธุรกิจที่ตั้ง SLA ไว้ให้ส่งภายใน 2–3 วัน (D+2 / D+3) เพราะ ระบบจะแสดงสถานะหลักให้ลูกค้ารับรู้ เช่น ผู้จัดส่งรับสินค้าแล้ว / สินค้าอยู่ระหว่างจัดส่ง / สินค้าถึงปลายทางแล้ว เป็นระบบที่เหมาะกับการจัดส่งแบบรอบ เช่น e-Commerce พัสดุทั่วไป หรือการขนส่งผ่านศูนย์กระจาย (Hub & Spoke) เพราะสามารถระบุ เวลาเข้า–ออกแต่ละจุดได้อย่างชัดเจน
- ระบบ Real-Time Tracking เหมาะสำหรับธุรกิจที่ตั้ง SLA เป็นรายชั่วโมงหรือเน้นความเร็วแบบส่งด่วน จำเป็นต้องใช้ในทันที ซึ่งลูกค้าสามารถติดตามพิกัดจัดส่งได้แบบเรียลไทม์ ช่วยลดคำถาม “ของอยู่ไหน?” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับธุรกิจที่ส่งตรงจากคลังไปยังลูกค้า (Direct Shipment) และสินค้าที่ต้องส่งด่วน เช่น อาหาร ยา หรืออะไหล่
อีกหนึ่งระบบที่ช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องรอเก้อ คือ ระบบนัดหมาย แจ้งนัดวัน–เวลาส่งสินค้าล่วงหน้าให้กับลูกค้า เพื่อที่ลูกค้าจะได้บริหารเวลาและอยู่รอรับสินค้า ช่วยลดโอกาสส่งของไม่สำเร็จ เหมาะสำหรับสินค้าชิ้นใหญ่หรือมีมูลค่าสูง เช่น เฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้า
ระบบติดตามสินค้าที่ดีต้อง “ตรงเป้า ไม่ใช่แค่ไฮเทค” เพราะสุดท้าย ลูกค้าไม่ได้ต้องการแค่รู้ว่า "ของอยู่ไหน" แต่ต้องมั่นใจว่า "ของจะถึงเมื่อไหร่" อย่างแม่นยำที่สุด