ธุรกิจจะรักษาความยั่งยืนในโลจิสติกส์ได้อย่างไร ในช่วงพีคออเดอร์ล้น !

ในช่วงเทศกาลหรือช่วงที่มีคำสั่งซื้อจำนวนมาก (Peak Season) เช่น Year-end Sale, Double Date, Black Friday ฯลฯ ธุรกิจต่าง ๆ มักเผชิญกับความท้าทายในการจัดการโลจิสติกส์ให้มีประสิทธิภาพ และการรักษาสมดุลระหว่างการตอบสนองความต้องการของลูกค้ากับการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้ว่าความคาดหวังเรื่องการส่งมอบสินค้าได้อย่างถูกต้องและรวดเร็วในช่วงเทศกาลจะเพิ่มขึ้น แต่ผู้บริโภคก็ยังคงจับตามองแบรนด์ที่ไม่ละทิ้งความใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมด้วย
บุญรอด ซัพพลายเชน (BRS) ในฐานะผู้ให้บริการทางด้านซัพพลายเชนโซลูชันและโลจิสติกส์อย่างครบวงจร ขอเสนอแนวทางปฏิบัติเพื่อรักษาความยั่งยืนในกระบวนการโลจิสติกส์ในช่วงที่ต้องรับมือคำสั่งซื้อจำนวนมาก ดังนี้
1. นำ AI เข้ามาช่วยในการจัดการสินค้าคงคลัง
การใช้ซอฟต์แวร์ที่มีเทคโนโลยี AI หรือ Machine Learning เข้ามาช่วยในการคาดการณ์ความต้องการของสินค้าและบริหารจัดการสินค้าคงคลัง จะช่วยลดของเสียจากการจัดเก็บที่ไม่เป็นระบบ ลดการสูญเสียเครื่องมือจากการบำรุงรักษาที่ไม่มีคุณภาพ รวมถึงลดการเสียโอกาสทางธุรกิจจากขั้นตอนที่เป็นคอขวดและการดำเนินงานที่ไม่จำเป็น
อย่างที่ Amazon ได้ลงทุนในระบบ AI ที่ช่วยวิเคราะห์การจัดเก็บสินค้าในแต่ละภูมิภาค (Regionalization) เพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าภูมิภาคนั้น ๆ และจัดเก็บสินค้ายอดนิยมได้ใกล้กับลูกค้ามากขึ้น ซึ่งช่วยลดระยะเวลาจัดส่งและเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าด้วย
หากธุรกิจมีการจัดการกระบวนการโลจิสติกส์ที่ดี นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินงานแล้ว ยังช่วยลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ในองค์กรได้มากแม้จะเป็นช่วง Peak Season
2. เลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมการรีไซเคิล
การเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ รีไซเคิล หรือย่อยสลายทางชีวภาพได้ โดยอาจจะทำแคมเปญกระตุ้นให้ลูกค้าสามารถส่งคืนบรรจุภัณฑ์แล้วเสนอเป็นส่วนลดสำหรับการสั่งซื้อครั้งถัดไป ซึ่งไม่เพียงตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ยังช่วยลดปริมาณขยะและการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลือง ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์และส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วย
3. ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน
ธุรกิจสามารถเลือกใช้เชื้อเพลิงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในกระบวนการต่าง ๆ ในโลจิสติกส์ เช่น การใช้โฟร์คลิฟท์ไฟฟ้า หรือรถขนส่งไฟฟ้าแทนการรถที่ใช้พลังงานจากน้ำมัน รวมไปถึงการปรับปรุงการจัดส่งในระยะสุดท้าย (Last-mile) เช่น มีจุดบริการรับพัสดุหรือล็อกเกอร์ สำหรับให้ผู้รับสามารถเลือกจุดรับพัสดุได้หลากหลาย ไม่ต้องใช้รถขนส่งวิ่งส่งของหลายเส้นทาง ควบคู่กับการใช้ GPS Tracking และซอฟต์แวร์ที่ช่วยคำนวณและวางแผนเส้นทางขนส่งที่เหมาะสม ซึ่งสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงและการปล่อยคาร์บอนได้ด้วย
4. ใช้พลังงานหมุนเวียนในคลังสินค้า
การที่ธุรกิจมีการวางแผนระยะยาวเพื่อรองรับปริมาณความต้องการที่มากขึ้นด้วยการใช้พลังงานธรรมชาติหรือพลังหมุนเวียนในคลังสินค้า เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์หรือแหล่งพลังงานอื่น ๆ จะช่วยให้ธุรกิจมีความสามารถในการบริหารค่าใช้จ่ายในช่วง Peak Season ได้ เพราะมี Fix Cost ที่ต่ำกว่า และลดการพึ่งพาพลังงานสิ้นเปลืองซึ่งมีการผันผวนของราคาที่ควบคุมได้ยาก
5. ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน
นอกจากเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ แล้ว คนในองค์กรเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างความยั่งยืนในกระบวนการโลจิสติกส์ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ จึงควรมีการจัดอบรมเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนด้วยการทำ Workshop หรือสร้างหลักสูตรออนไลน์ที่สอนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน, การให้ความรู้เรื่องการขับขี่แบบ Eco-driving เช่น การเร่งเครื่องอย่างนุ่มนวล การใช้ความเร็วที่เหมาะสมเพื่อลดการใช้เชื้อเพลิง รวมถึงกิจกรรมรณรงค์และตั้งเป้าหมายร่วมกัน จะช่วยส่งเสริม Mindset ที่สามารถสร้างโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
การนำแนวทางเหล่านี้ไปปรับใช้ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดค่าใช้จ่ายในโลจิสติกส์ รวมถึงสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่ใส่ใจในความยั่งยืนด้วย
บุญรอด ซัพพลายเชน (BRS) ในฐานะผู้ให้บริการทางด้านซัพพลายเชนโซลูชันและโลจิสติกส์แบบครบวงจร พร้อมสนับสนุนลูกค้าธุรกิจเพื่อการปรับตัวในทุกสถานการณ์ของธุรกิจและสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
“BRS เราเป็นให้คุณมากกว่าแค่ Supply Chain Solutions Provider”
สนใจติดต่อสินค้า/บริการ ได้ที่ brs-group.com
Tel: 1439
#BRS #BoonRawdSupplyChain #TotalSupplyChainSolutions #Empoweryourbusiness #สปีดได้ไวสเกลได้ไกล #PeakSeason #WarehouseManagement #CircularEconomy #TransportationManagement #LogisticsManagement #GreenLogistics