3 กรกฎาคม 2568

ส่งของผิดบ่อย แก้ไขอย่างไร ? แนะนำ 3 เทคโนโลยีช่วยเพิ่มความแม่นยำในคลังสินค้าและ Fulfillment

แนะนำเทคโนโลยีช่วยเพิ่มความแม่นยำในคลังสินค้าและ Fulfillment

“ส่งผิด” คือหนึ่งในปัญหาคลาสสิกของงานโลจิสติกส์ที่สร้างความเสียหายได้เกินกว่าที่คิด ทั้งต้นทุนซ้ำซ้อน คำร้องเรียนจากลูกค้า และผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของแบรนด์

เพื่อยกระดับ “ความแม่นยำในการจัดส่ง” วันนี้เราจึงขอแนะนำ 3 เทคโนโลยีที่ธุรกิจควรพิจารณานำมาประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ พร้อมมุมมองข้อควรระวัง

1. Warehouse Management System (WMS) & Barcode Scanning:

การสแกนบาร์โค้ดถือเป็นหนึ่งในวิธีที่แพร่หลายที่สุดในปัจจุบัน ด้วยต้นทุนที่ไม่สูงและความแม่นยำในการลดความผิดพลาดจากการหยิบผิด SKU จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับองค์กรที่สามารถยอมรับเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนได้ในระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม การสแกนสินค้าทุกชิ้นอาจใช้เวลามากและส่งผลต่อความต่อเนื่องของงาน ทำให้หลายองค์กรจึงเลือกใช้แนวทางผสม เช่น การสแกนเฉพาะรายการหลักร่วมกับการคีย์จำนวนสินค้า ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและเพิ่ม Productivity ได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็อาจต้องมีมาตรการตรวจสอบเพิ่มเติม เช่นการ reconcile เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดจากการคีย์ข้อมูลผิด

2. Pick-to-Light / Put-to-Light Systems:

ระบบ Pick-to-Light และ Put-to-Light เป็นระบบที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจที่มีสินค้าที่มีปริมาณมากและหลากหลายขนาด เริ่มด้วย Pick-to-Light ระบบที่ใช้แสงไฟ LED เพื่อนำทางพนักงานไปยังตำแหน่งหยิบสินค้าที่ถูกต้อง เมื่อพนักงานสแกนคำสั่งซื้อ ไฟ LED ที่ชั้นวางสินค้าที่ต้องหยิบจะสว่างขึ้น พร้อมแสดงจำนวนที่ต้องหยิบ พนักงานหยิบสินค้าตามจำนวนที่แสดงและกดปุ่มยืนยัน

ตรงกันข้ามกับระบบ Pick-to-Light ระบบ Put-to-Light เป็นระบบจัดเรียงสินค้า ใช้สำหรับการจัดเรียงสินค้าลงในกล่องหรือช่องสำหรับแต่ละออเดอร์ เมื่อพนักงานสแกนสินค้า ระบบจะบอกว่าต้องนำสินค้าชิ้นนั้นไปใส่ในกล่องหรือช่องไหนบ้าง (ที่ไฟสว่าง) และจำนวนเท่าไหร่

ทำให้คลังสินค้าสามารถเพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการหยิบ/จัดเรียง, ลดการพึ่งพา ทักษะและความจำของพนักงาน แต่ก็จะมีการลงทุนที่มูลค่าสูงสำหรับ Pick-to-light / Put-to-light

3. RFID (Radio Frequency Identification)

RFID เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่ม Productivity ได้ในปริมาณมาก นำไปใช้กันตั้งแต่แบรนด์เสื้อผ้า ไปจนถึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ โดยสินค้าจะถูกติด “Tag” ที่สามารถใช้ติดตามสินค้าได้แบบ Real Time และ มี “Reader” เครื่องอ่านTag ที่สามารถอ่านสินค้าได้พร้อมกันหลายชิ้น โดยไม่จำเป็นต้องวางสินค้าให้ใกล้กับ Reader

แต่เนื่องจากตัว Tag และ Reader มีหลายเกรด หลายราคา จึงทำให้ RFID เป็นเทคโนโลยีต้องใช้การลงทุนสูง การจะนำมาใช้ให้คุ้มค่า ธุรกิจจะต้องพิจารณาว่ารูปแบบสินค้าและปริมาณงาน ว่ามีความเหมาะสมในการใช้ RFID มากน้อยเพียงใด เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เสริมความมั่นใจด้วยระบบ Trace Back และมาตรการป้องกันเพิ่มเติม

แม้เทคโนโลยีจะมีบทบาทสำคัญในการยกระดับคุณภาพในการทำงาน แต่ในหลายกระบวนการยังต้องการบุคลากรผู้เชี่ยวชาญมาดำเนินการและตัดสินใจ การเสริมระบบ Trace Back เช่น การบันทึกภาพหรือวิดีโอระหว่างการบรรจุสินค้า จึงเป็นแนวทางที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ทั้งลูกค้าและทีมงาน โดยสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ในกรณีเกิดข้อสงสัย พร้อมใช้เป็นข้อมูลในการฝึกอบรมหรือปรับปรุงขั้นตอนให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังสามารถเสริมความปลอดภัยของสินค้าในระหว่างการขนส่ง ด้วยการใช้เทปหรือซีลเฉพาะทาง ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของธุรกิจ เช่น การสลับพัสดุหรือความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นระหว่างทาง มาตรการเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องสินค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการแสดงความใส่ใจต่อประสบการณ์ของลูกค้าในทุกจุดสัมผัส

เทคโนโลยีไม่มีคำว่า “ดีที่สุด” มีแต่ “เหมาะสมที่สุด” สามารถนำ 3 วิธีนี้ ไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณ เพื่อหาวิธีที่ใช่และเพื่อให้การขนส่งของคุณ “แม่นยำ” และ “น่าเชื่อถือ” อย่างแท้จริง

“BRS เราเป็นให้คุณมากกว่าแค่ Supply Chain Solutions Provider”

สนใจติดต่อสินค้า/บริการ ได้ที่ brs-group.com

Tel: 1439

#BRS #BoonRawdSupplyChain #TotalSupplyChainSolutions #Empoweryourbusiness #สปีดได้ไวสเกลได้ไกล #RiskManagement