13 มิถุนายน 2568

4 ความท้าทายในการจัดการสินค้าคงคลัง พร้อมวิธีรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ

แนวทางการจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมสต๊อกสินค้า

ธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคที่มักมีการเคลื่อนไหวของสินค้าตามคำสั่งซื้ออยู่ตลอดเวลา หากมีการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่ไม่ดี ก็ไม่เพียงแต่จะกระทบกับต้นทุนเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อโอกาสทางธุรกิจและประสบการณ์ของลูกค้าต่อแบรนด์ด้วย

บุญรอด ซัพพลายเชน (BRS) ได้สรุป 4 ความท้าทายหลักในการจัดการสินค้าคงคลัง พร้อมแนวทางรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณพร้อมเติบโตได้อย่างมั่นคง

1. การคาดการณ์ความต้องการผิดพลาด

การคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำคือพื้นฐานสำคัญของการจัดการสินค้าคงคลัง หากมีการวิเคราะห์และประเมินผิดพลาด อาจทำให้มีปริมาณสินค้าคงคลังที่ค้างสต๊อกมากเกินไป หรือในทางตรงกันข้ามคือสินค้าขาดแคลน ซึ่งเสี่ยงทำให้มีสินค้าหมดอายุไปจนถึงการเสียโอกาสในการขายอีกด้วย

ธุรกิจควรบริหารคลังสินค้าโดยการใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลและคาดการณ์ความต้องการที่เป็นเทคโนโลยี AI หรือ Machine Learning เข้ามาช่วยประมวลผลและสามารถวางแผนภายในคลังสินค้าหรือทั้งโลจิสติกส์ได้แม่นยำและยืดหยุ่นยิ่งขึ้น

2. การมองไม่เห็นภาพรวมของข้อมูลสินค้าคงคลัง

การใช้ระบบบริหารจัดการภายในคลังสินค้าที่ไม่สามารถมองเห็นจำนวนสินค้าคงเหลือจากการขายได้แบบเรียลไทม์ อาจทำให้จำนวนคำสั่งซื้อไม่สอดคล้องกับจำนวนสต๊อกสินค้าที่มีอยู่จริง นำไปสู่ความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าและทำให้ลูกค้าขาดความมั่นใจในบริการของแบรนด์

ดังนั้น ธุรกิจใดก็ตามที่มีการจัดการคลังสินค้าของตัวเองควรลงทุนในระบบจัดการคลังสินค้าหรือ Warehouse Management System (WMS) เพื่อติดตามการเคลื่อนไหวของสินค้าภายในคลังสินค้าได้อย่างแม่นยำในทุกขั้นตอน และควรเชื่อมโยงระบบคลังสินค้ากับระบบจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management System - OMS) เพื่อสร้างความโปร่งใสในกระบวนการและเพิ่มความเชื่อมั่นในบริการให้กับลูกค้าของแบรนด์ได้

3. ต้นทุนแฝงจากสินค้าคงคลังที่ไม่หมุนเวียน

สินค้าคงคลังที่ถูกทิ้งค้างในสต๊อกนานโดยไม่มีการเคลื่อนไหว ไม่เพียงแต่จะกินพื้นที่จัดเก็บ แต่ยังมีต้นทุนแฝง เช่น ค่าเช่าคลัง ค่าประกันสินค้า ค่าแรงงาน ค่ารักษาสินค้า และบางครั้งอาจถึงขั้นสูญเสียมูลค่าเมื่อสินค้าหมดอายุหรือไม่ล้าสมัย ส่งผลให้ธุรกิจสูญเสียทั้งเงินทุนและโอกาสในการจัดสรรพื้นที่ให้กับสินค้าที่สามารถขายได้จริง

ธุรกิจจึงควรมีระบบที่สามารถวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของสินค้าเป็นประจำ เพื่อที่จะสามารถวางแผนระบายสินค้าที่ขายออกช้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ทำการโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม หรือแม้แต่บริจาคเพื่อสร้างภาพลักษณ์ด้าน CSR และเพื่อลดต้นทุนจมจากสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหว

4. ขาดทักษะหรือบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ

แม้จะมีระบบเทคโนโลยีครบครัน แต่หากขาดบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการบริหารคลังสินค้า การใช้งานระบบ การวางแผนโลจิสติกส์ หรือการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ก็จะยังคงเกิดข้อผิดพลาดและความล่าช้าในกระบวนการภายในคลังสินค้าได้ โดยเฉพาะในช่วงพีคซีซันหรือเมื่อธุรกิจต้องการขยายตัวอย่างรวดเร็วที่ต้องใช้ทักษะการบริหารเพื่อสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การลงทุนเพื่อฝึกอบรมพนักงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องเทคโนโลยี ระบบในคลังสินค้า การวางผังคลัง และความเข้าใจในโลจิสติกส์ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการเติบโตของธุรกิจ นอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับการสื่อสารและทำงานร่วมกันภายในทีม ให้รู้จักแบ่งปันข้อมูลความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานได้

อีกทางหนึ่งคือธุรกิจสามารถพิจารณาเลือกใช้บริการจากผู้ให้บริการโลจิสติกส์และ Fulfillment ที่มีทีมงานมืออาชีพและพร้อมรองรับความเปลี่ยนแปลงอย่างคล่องตัวอยู่แล้ว เพื่อลดความเสี่ยงผิดพลาดและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานได้อย่างยั่งยืน

บุญรอด ซัพพลายเชน (BRS) ได้ให้บริการบริหารจัดการคลังสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับคลังสินค้า รวมถึงบริการ Fulfillment ด้วยระบบที่เชื่อมต่อกระบวนการทำงานภายในคลังสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรับมือกับทุกความท้าทายและรองรับการเติบโตของธุรกิจได้ในทุกช่วงเวลา

“BRS เราเป็นให้คุณมากกว่าแค่ Supply Chain Solutions Provider”

สนใจติดต่อสินค้า/บริการ ได้ที่ brs-group.com

Tel: 1439

#BRS #BoonRawdSupplyChain #TotalSupplyChainSolutions #Empoweryourbusiness #สปีดได้ไวสเกลได้ไกล #ความท้าทายในการจัดการสินค้าคงคลัง #WarehouseManagementSystem #WMS #InventoryManagement #Warehousing #Fulfillment

Source netsuite, dclcorp, dclcorp

เพิ่มเติมเกี่ยวกับ บทความ